logo
SBT LIGHTING

บทความ

วิธีการดื่มน้ำจากคุณหมอ

17-01-2562 20:36:55น.

เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
> > ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ
> > เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละ
> > ครับ
> > ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
> > 1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
> > 2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
> > 3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
> > 4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่ม
> > ก่อนนอน เป็นต้น
> > 5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
> > เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
> > ตัวเองหรือยังครับ
> >
> > ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุด
> > สมดุลของมันครับ
> > น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่ง
> > เพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
> >
> > ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ
> > 8-10
> > แก้ว ว่าแต่
> > ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามี
> > ที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
> > น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
> > ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
> > แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย
> > 500 มิลลิลิตรต่อวัน
> > ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
> > นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร
> > หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
> > เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุก
> > วันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
> > (แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
> > ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ
> > ต่อความต้องการของร่างกาย
> > สูตรคือ
> > (น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น
> > หนัก
> > 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
> > ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
> > ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่าง
> > กายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
> > สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า
> > ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่
> > เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
> > บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำ
> > เดือนก็แหงละครับ
> > น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
> > แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆ
> > ครับ
> >
> > ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้าม
> > สำหรับร่างกาย
> > กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย
> > อาหาร
> > บูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
> > และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไป
> > เรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
> > เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
> > แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน
> > ทุกที่ต้องเสริฟน้ำ
> > เย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
> > จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลย
> > ครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
> >
> > 4 ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10
> > แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วง
> > ไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
> > จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่
> > หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
> > คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
> > เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
> > ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้อง
> > อาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
> > เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง
> > ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกิน
> > ของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
> > เข้าเส้นเลือด
> > เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
> > ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว
> > เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ
> > ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
> > ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที
> > ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่ง
> > แก้วครับ
> > ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
> > และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ
> > หาขวดน้ำแก้วน้ำมา
> > วางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
> > ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ
> > ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออก
> > ไปหมดแล้ว
> > อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้น
> > เขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
> > กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไร
> > ครับ
> > ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควร
> > กินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
> > เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
> > หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน
> > กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสีย
> > ต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
> > เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป
> > ทุกวันนี้เลิกครับ
> > ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
> > เพราะมัน
> > ควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
> > เลิกเบียร์กันไป
> > แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่
> > บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
> > เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ
> > กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อย
> > ยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
> > พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
> >
> > นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ
> > โดยเฉพาะผลไม้ที่
> > มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
> > ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
> > มีสองเหตุผลครับ
> > หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ
> > ผลไม้ก็ค้างเติ่ง
> > อยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
> > สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้
> > พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่า
> > เสียไปหมดแล้วครับ
> > เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม.
> > ขณะท้องว่างเพื่อ
> > ให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
> > สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย
> > เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็น
> > เข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
> > เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
> >
> > มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ข้อห้า
> > ยังครับมารับรู้
> > ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
> > ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน
> > ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้
> > สะอาดหนักกว่าเดิม
> > เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งาน
> > ไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
> > ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว
> > คุณคง
> > รู้ว่าต้องทำอย่างไร
> > อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก
> > กินเข้าไปมี
> > แต่ผลเสียครับ
> > ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่าง
> > กายตัวเองเปล่าๆ
> > พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสม
> > น้ำนำมาขาย
> > แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ
> > เพราะชา
> > มีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
> > รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
> > กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ
> > "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผม
> > ไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
> > เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง
> >
> > อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำ
> > งานหนักนะครับ
> >
> > ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อ
> > ประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น
> > ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
> > เพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ
> > หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
> > เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว
> > ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
> > สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัว
> > คุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
> > ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ